วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

บันทึกของชีวิตเด็กคนหนึ่งที่มีทุกอย่างยกเว้นความสุข

บันทึกของเด็กไร้ค่า
   วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ก็เหมือนกับทุกวัน แม่บ่นฉันด่าฉันเรื่องเดิมๆ ฉันไม่เคยทำร้ายใคร ไม่เคยก่อความเดือดร้อนให้ใครอะไรทั้งนั้น ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นไปแรดๆๆ เหมือนเด็กวัยเดียวกันอีกหลายๆ คนสักหน่อย ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงได้ตราหน้าว่าฉันเป็นลูกที่ไม่เอาไหน ฉันชอบเขียนนิยาย แต่ฉันกลับโดนดูถูกสารพัด ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ตลอดเวลา เหมือนฉันไม่ใช่ลูกคน ฉันเป็นลูกแท้หรือ? ก็เปล่า... ทำไมถึงได้ตั้งความหวังกับฉันมากมายขนาดนั้น เคยคิดบ้างไหมว่าฉันไม่ชอบ มันกดดันและอึดอัดมากๆ แต่ฉันก็พอรู้ว่าเขาถึงฝากความหวังกับฉันไว้มากมายขนาดนั้น เพราะเมื่อตอนอายุเท่าฉันตัวเขาเองทำไม่ได้ไง ก็เลยจะมาทิ้งภาระหน้าที่เอาไว้ให้ฉันแบบนี้
   ฉันเหนื่อยมากจริงๆ ตั้งแต่ฉันยังเด็กแล้ว ฉันไม่ชอบเลย ยังไม่ทันลืมตาฉันก็โดนด่าว่าประชดประชันมากมายจนไม่เป็นอันทำอะไร ครั้งพอฉันเถียงเขาก็หาว่าฉันก้าวร้าวเถียงผู้หลักผู้ใหญ่ ฉันเงียบมานานมาก เพราะด้วยความกลัวว่าพูดออกไปแล้วจะโดนต่อว่ามากกว่าเดิม มันเหนื่อยมากแค่ไหนเขารู้บ้างหรือเปล่า ความคิดไร้สาระเคยผุดขึ้นในสมองหลายครั้ง... และฉันก็เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยคิดเหมือนกัน มันคือการ "หนีออกจากบ้าน"
   แต่แน่นอน... ว่าฉันรู้ดีว่ามันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากเหลือหลาย เสี่ยงต่ออะไรหลายๆ อย่าง ยิ่งฉันเป็นผู้หญิงด้วยแล้ว มันยิ่งฟังดูว่าจะเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย จะไปนอนที่ไหน จะไปกินอะไร จะเอาเงินที่ไหนใช้ จะเอายังไงกับเรื่องเรียน บลาๆๆ มันมีปัญหามากมายที่จะตามมา ไหนจะต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ ไม่ให้คนที่บ้านเจออีก ทุกคืน...ทุกคืนที่ฉันหลับไปพร้อมกับคิดเรื่องไม่ตกเหล่านี้ เพราะใจจริงแล้วไม่อยากอยู่บ้านเลยสักนิด ถึงแม้ว่าพ่อของฉันค่อนข้างจะมีฐานะและบ้านของฉันก็มีทุกอย่างที่ต้องการ
   ใช่...มีทุกอย่างที่ฉันอยากได้... ยกเว้นความสุข
   ฉันค้นพบตัวเองว่าต้องการอะไร ชอบอะไร ถนัดด้านอะไร แม้กระนั้นฉันก็ยังโดนต่อต้าน อุดมการณ์มันไม่มีความหมายเลยสักนิด เขาดูถูกฉันต่างๆ นานาว่าอุดมการณ์ไร้สาระบ้างอะไรบ้าง ฉันอยากจะพิสูจน์ให้เขาเห็น แต่ทว่าเขาไม่เคยเปิดใจรับมันสักนิดเลย... มีครั้งหนึ่งที่ทะเลาะกันครั้งใหญ่ คนที่อยู่ในเหตุการณ์มีตัวฉัน แม่ และรวมถึงพ่อด้วย วันนั้นทำให้ฉันเองได้กระจ่างว่า... ณ เวลานี้ ฉันมีหน้าที่เป็นแค่เครื่องจักรที่แม้บ้างครั้งเขาจะทำดีกับฉันดูแลฉันและบ้างครั้งจะทุบตีดุด่าเพื่อให้ฉันมีแรงขับเคลื่อนทำในสิ่งที่เขาต้องการ ฉันเป็นเพียงแค่ผลประโยชน์... ใครอ่านเรื่องนี้แล้วคิดว่าฉันเนรคุณพ่อแม่ก็ช่าง ฉันไม่แค่ ขนาดพ่อที่ฉันคิดว่าคงเข้าใจฉัน พ่อแท้ๆ... พ่อแท้ๆ... เขาเองก็ยังเออออห่อหมกกับคนนอกที่มีลูกชายให้เขาไปด้วย
   แบบนี้หรือเปล่า...ที่เขาเรียกว่าหมาหัวเน่า
   ชีวิตตอนนี้ของฉันบอกได้คำเดียวว่ามันว่างเปล่ามากๆ ฉันอยากหนีไปให้ไกลๆ มันเป็นอีกวันที่ฉันคิดหนีออกจากบ้าน ฉันอยากเป็นตัวของฉันเอง ฉันไม่มีความสุขเลย ชีวิตนี้ไม่เคยได้ทำอะไรตามใจตัวเองเกินสองครั้งด้วยซ้ำ ทุกอย่างอยู่ในกฎเกณฑ์ แล้วมันจะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไร... จนฉันเรียนจบทำงาน? แม้กระทั่งเรื่องแฟน เขาก็คงจะหาให้ฉันด้วยกระมัง ความท้อแท้มันเกาะกุมฉันไปหมดแล้ว ทั้งร่างกาย จิตใจ ความรู้สึก รวมถึงความคิด จากที่เคยมีความคิดมากมายเขียนนิยายออกมาได้เป็นร้อยๆ หน้า แต่ตอนนี้กลับมีเรื่องให้คิดเพิ่มจากสิ่งรอบตัวและสภาพแวดล้อม มันครอบงำความคิดสร้างสรรค์เชิงบวกไปหมดเลย ตอนนี้ความคิดฉันมีแต่แง่ลบทั้งนั้น คิดอะไรก็ไม่ดีไปหมด...ไม่ดีไปเสียทุกอย่าง
   ถึงแม้ฉันจะอายุแค่ 15 ปี แต่ฉันก็แยกแยะออกว่าอะไรดีไม่ดี ถึงแม้จะเผลอคิดเรื่องเหลวแหลกอย่างการหนีออกจากบ้านหรือการมีอะไรกับผู้ชาย แต่ว่าฉันไม่ได้ทำจริงๆ จิตใต้สำนึกมันก็บอกอยู่ เตือนฉันอยู่ว่ามันไม่ใช่ที่ไม่ใช่เรื่องที่ฉันควรจะทำ เพราะว่าฉันวางแผนให้ชีวิตไว้แล้วว่าฉันอยากจะทำอะไรต่อจากนี้ โอเคเลย... ยอมรับว่าฉันอาจจะปฏิบัติตนไม่ค่อยดีนักในด้านการเอาใจใส่ตัวเอง ฉันนอนดึก ห้องนอนฉันไม่สะอาดเรียบร้อย ฉันปล่อยปะละเลยงานบ้านงานเรือน เพราะฉันเห็นว่าฉันก็ยังอยู่ได้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องรีบทำนัก ห้องนอนของฉันรกรุงรังเหมือนห้องเด็กผู้ชาย นั่นก็เพราะว่าตัวฉันเองไม่ได้เป็นคนพิถีพิถันสะอาดสะอ้านเหมือนผู้หญิงคนอื่น เด็กผู้หญิงคนอื่นอาจจะมองว่าขยะเกลื่อนแบบนี้นอนไปได้ยังไง แต่สำหรับตัวฉันเองกลับคิดว่ามันก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ไม่ได้มีตัวอะไรอยู่ในห้องสักหน่อย ก็แค่ขยะเดี๋ยวค่อยทิ้งก็ได้ ข้าวของวางระเกะระกะไม่เป็นที่บ้างอะไรบ้าง มันก็อีกนั่นแหละ... ฉันรู้ตัวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าตัวเองอาร์ทติสแค่ไหน อารมณ์ไม่คงที่คงวา พยายามกลบเกลื่อนปมด้อยของตัวเองด้วยร้อยยิ้มและสร้างเสียงหัวเราะให้เพื่อนๆ แต่บางครั้งฉันอาจจะเป็นคนที่โผงผางและพูดตรงไปตรงมา ชอบก็บอกว่าชอบ เกลียดก็บอกว่าเกลียด แต่น้อยครั้งนักที่ฉันจะแสดงปฏิกิริยาแบบนั้นเพราะความมีกาลเทศะมันก็ยังอยู่ในสมองอยู่ ไม่ได้เที่ยวติติงนู่นนั่นนี่ตลอดเวลาเหมือนคนเป็นโรคประสาท
   ฉันรู้ว่าตัวเองถนัดด้านภาษาและชอบมันเอามากๆ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ชอบมากจริงๆ ชอบการเขียนหนังสือ รักการวาดรูป เอาเป็นว่ารู้ว่าตัวเองจะไปทางด้านไหน ชอบกราฟิกดีไซน์ต่างๆ ฉันอยากเรียนภาษาศิลป์ให้มากๆ พ่อกับแม่ก็บอกว่าให้ฉันเรียนภาษาเพิ่มอีกภาษา ใจจริงแล้วฉันอยากเรียนภาษาฝรั่งเศสหรือรัสเซีย เพราะมันไม่ค่อยมีคนเรียน คนที่เก่งด้านนี้ก็มีน้อย โอกาสที่ความต้องการของงานมันอาจจะมีสูงในความคิดของฉัน แต่พ่อกับแม่เขาก็ให้เรียนภาษาจีน อ่ะ... โอเค... ภาษาจีนก็ภาษาจีน ฉันเองก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้วเพราะภาษาอะไรฉันก็อยากเรียนหมดนั่นแหละ ใจจริงอยากจะเรียนให้มันทุกภาษาทั่วโลก แต่ถามว่าจะทำอาชีพเกี่ยวกับแปลหรือไกด์อะไรหรือเปล่า... ตอบได้เลยว่าเปล่า แค่อยากเรียนไว้ประดับความสามารถเสริมทักษะตัวเองก็เท่านั้น เพราะอาชีพที่ฉันรักจริงๆ และรักมากคือสายวรรณกรรมงานเขียนและการออกแบบ ฉันชอบมากๆ เพียงแต่ใช้ภาษาเพื่อเป็นการอัพเลเวลตัวเองให้โดดเด่นมากกว่าคนที่ชอบเหมือนกันแค่นั้นเอง พรสวรรค์อะไรตัวฉันเองก็คิดว่าคงไม่มีหรอก แค่ชอบแค่ถนัดเฉยๆ ไม่ใช่ว่าเขียนปุ๊บแล้วดีเลิศวิเศษวิโสไปหมดทุกอย่างหรอกนะ ฉันก็เจียมตัวได้ ไม่นักเขียนก็ครีเอทีฟฉันจะต้องเป็นให้ได้
   แต่กลับมีบางอย่างมาขัด...
   พ่อแม่ที่ว่าทำเหมือนจะสนับสนุนตอนแรกกลับเริ่มกีดกันดูถูกเมื่อฉันเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ แถมยังชอบบ่นว่าด่าเอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเสียๆ หายๆ ไร้สาระ ทำไมเขาไม่เอาลูกคนอื่นมาเลี้ยงไปเลยก็ไม่รู้ มาจุ้จี้จุกจิกกับฉันฉันเหนื่อย ฉันเบื่อ เถียงก็หาว่าก้าวร้าว วันนี้ฉันเดินหนีก็ทำมาหาว่าฉันอย่างนั้นอย่างนี้ ฉันต้องทำการบ้านอีกเยอะแยะแค่ไหนไม่มีเวลามานั่งฟังเขาด่าเขาว่าหรอก เคยรู้บ้างหรือเปล่า ดีแต่ว่าดีแต่บ่น แล้ววันนี้ฉันก็ตัดสินใจแล้ว ฉันจะไม่ทนแล้วจริงๆ!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น